เคยสงสัยเกี่ยวกับคะแนน SAT กันไหม? คะแนน Digital SAT คิดยังไง? คะแนน Sat เต็มเท่าไหร่? คะแนน SAT ควรได้เท่าไหร่? วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว! การเข้าใจเกี่ยวกับ SAT Scores นั้นสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราสามารถตั้งเป้าหมายและสามารถคำนวณคะแนนที่เราต้องการได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถเข้าหลักสูตรและมหาวิทยาลัยที่เราต้องการได้
ต้องรู้! SAT คิดคะแนนอย่างไร
การคิดคะแนนข้อสอบ Digital SAT มีความน่าสนใจและมีความเฉพาะเจาะจงมาก ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าการสอบ Digital SAT จะแบ่งออกเป็น 2 Module หลักดังนี้:
- Module 1: ผู้สอบทุกคนจะได้รับข้อสอบที่เหมือนกันทั้งหมดใน Module นี้ ซึ่งหมายความว่าคะแนนของแต่ละข้อจะมีน้ำหนักเท่ากัน การทดสอบแบบนี้ช่วยให้ทุกคนมีจุดเริ่มต้นทำข้อสอบที่เท่าเทียมกัน และผลลัพธ์ของส่วนนี้จะกำหนดระดับความยากของข้อสอบที่จะปรากฏใน Module ถัดไป
- Module 2: ข้อสอบในส่วนนี้จะปรับให้เหมาะสมกับความสามารถของผู้สอบที่ทำไปแล้วใน Module 1 ความยากของข้อสอบใน Module 2 จะต่างกันไปตามความสามารถของผู้เข้าสอบแต่ละคน ซึ่งหมายความว่าคะแนนที่ได้จากข้อสอบยากจะมีน้ำหนักมากกว่า และข้อสอบที่ง่ายกว่าจะมีน้ำหนักคะแนนน้อยลง
การคิดคะแนนแบบนี้มาจากระบบ Adaptive Test ซึ่งเป็นการปรับเกณฑ์คะแนนให้สอดคล้องกับระดับความสามารถของผู้เข้าสอบ เพื่อให้ผลลัพธ์สะท้อนถึงความสามารถที่แท้จริงมากที่สุด ถือว่าเป็นวิธีการที่ปรับให้ทันสมัยขึ้นจากรูปแบบการสอบ SAT แบบดั้งเดิมเป็นอย่างมาก
คะแนนดิบ SAT คือเท่าไหร่
คะแนนของ SAT จะถูกแบ่งออกเป็นสองพาร์ท ได้แก่ Math และ Reading and Writing โดยแต่ละพาร์ทนั้นจะมีคะแนนตั้งแต่ 200 – 800 เมื่อรวมทั้งสองพาร์ทแล้ว คะแนนที่ผู้เข้าสอบจะทำได้คือตั้งแต่ 400 คะแนน และคะแนนเต็ม SAT ทั้งสองพาร์ท 1600 คะแนน
ค่าเฉลี่ยคะแนน SAT ทั่วโลก
SAT Scores ของผู้เข้าสอบทั่วโลกมีค่าเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1030 – 1080 ซึ่งอยู่ใน Percentile ระหว่าง 50 – 58 สำหรับคะแนนของส่วน Math จะอยู่ที่ 520 – 540 (Percentile ที่ 50 – 60) และส่วน Reading and Writing นั้นจะอยู่ที่ 520 – 550 (Percentile ที่ 50 – 59) โดยในปี 2023 นั้นมีค่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 1028
ตัวอย่างการคิดคะแนน Digital SAT
หลักการคิดคะแนน Digital SAT
- Module 1: ข้อสอบมีน้ำหนักคะแนนเท่ากันทั้งหมด เพื่อกำหนดระดับความยากของข้อสอบใน Module 2
- Module 2: คะแนนขึ้นอยู่กับความยากของข้อสอบและจำนวนข้อที่ตอบถูก
วิธีการประเมินคะแนนคร่าวๆ ขณะทำข้อสอบ
- หาก Module 2 ยากกว่า: ไม่จำเป็นต้องตอบถูกทุกข้อ เนื่องจากข้อที่ยากกว่าช่วยให้ได้คะแนนเยอะมากขึ้น
- หาก Module 2 ง่ายกว่า: ควรตอบให้ถูกให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มโอกาสในการได้คะแนนสูง เนื่องจากน้ำหนักคะแนนของข้อที่ง่ายนั้นจะน้อยกว่า
ตัวอย่างการคิดคะแนนจากคนที่ทำ Paper Version ของ Digital Sat Practice Test
- นาย ก ทำข้อสอบทั้งหมดเสร็จเรียบร้อย และนำจำนวนข้อที่ทำถูกทั้งหมดมาแปลงเป็นคะแนนโดยเทียบจากตารางเทียบคะแนน โดยคะแนนที่เทียบออกมาจะแบ่งเป็น Lower และ Upper ซึ่งเป็น range ของคะแนนที่เป็นไปได้จากจำนวนข้อที่ทำถูก หมายความว่าหากนาย ก ทำพาร์ท Reading and Writing ได้ 50 ข้อ คะแนนที่เขาจะได้ในพาร์ทนี้นั้นจะอยู่ระหว่าง 610 และ 630 คะแนนโดยขึ้นอยู่กับระดับความยากข้อสอบใน Module 2 และถ้าเขาทำพาร์ท Math ได้ 47 ข้อ คะแนนที่เขาได้ในพาร์ทนี้จะอยู่ในช่วง 710 ถึง 740 เพราะฉะนั้นคะแนนรวมของเขาจะอยู่ในช่วงคะแนน 1320 ถึง 1370 จากคะแนนเต็ม 1600 นั่นเอง
ตารางสถิติคะแนนผู้สอบ SAT ปี 2023
1400 – 1600 | 1200 – 1390 | 1000 – 1190 | 800 – 990 | 600 – 790 | 400 – 590 |
7% | 17% | 29% | 31% | 16% | >1% |
คะแนนเฉลี่ยของผู้เข้าสอบ SAT ในปี 2023 คือ 1028 ซึ่งน้อยกว่าปีก่อนหน้า 2022 ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยทั้งหมด 1050
ที่มา: https://www.collegetransitions.com/blog/average-sat-score-over-time/
คะแนน SAT แค่ไหนที่เรียกว่าดี?
คะแนน SAT ที่ “ดี” จะขึ้นอยู่กับเกณฑ์ของหลักสูตรหรือมหาวิทยาลัยที่น้องต้องการสมัครเรียนด้วย เพราะแต่ละสถาบันมีเกณฑ์คะแนนที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ถ้าเราพูดถึงคณะที่ใช้คะแนน SAT เป็นหนึ่งในเกณฑ์หลักในการจัดอันดับผู้สมัคร การได้คะแนนในพาร์ท Math ระหว่าง 690 ถึง 800 คะแนน และในพาร์ท Reading and Writing ระหว่าง 670 ถึง 800 คะแนน จะถือว่าเป็นคะแนนที่ค่อนข้างสูง คะแนนเต็มทั้งหมดจะอยู่ในช่วง 1360 ถึง 1600 คะแนน ซึ่งถือว่าเป็นช่วงคะแนนที่โดดเด่นมากและสามารถเพิ่มโอกาสให้น้องๆ ในการได้รับการพิจารณาเข้าศึกษาในคณะที่มีการแข่งขันสูงได้
คะแนน SAT ขั้นต่ำยื่นเข้าคณะอินเตอร์
โดยทั่วไปคะแนนขั้นต่ำสำหรับ SAT English อยู่ระหว่าง 350 ถึง 450 คะแนน และสำหรับ SAT Math อยู่ระหว่าง 450 ถึง 490 คะแนน อย่างไรก็ตาม คะแนน SAT แต่ละคณะนั้นใช้ไม่เท่ากัน และบางหลักสูตรอาจมีวิธีการคัดเลือกที่ไม่เน้นคะแนน SAT เป็นหลัก และอาจใช้วิธีการสัมภาษณ์ การสอบข้อเขียน หรือการประเมินผลงาน Portfolio อื่นๆ แทน
ถึงแม้ว่าคะแนน SAT ขั้นต่ำที่บางหลักสูตรกำหนดไว้อาจเป็นเพียงคุณสมบัติขั้นพื้นฐาน แต่ยังมีอีกหลายคณะที่ยังคงใช้คะแนน SAT เป็นหนึ่งในเกณฑ์หลักในการจัดอันดับและคัดเลือกผู้สมัคร ดังนั้น เพื่อเพิ่มโอกาสของน้องๆ ในการได้รับการพิจารณาจากหลักสูตรที่สนใจ น้องๆ ควรตั้งเป้าหมายคะแนนให้สูงเกินกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่กำหนด โดยแนะนำให้ตั้งเป้าหมายคะแนน SAT English ไว้ที่ 500 ถึง 600 คะแนน และคะแนน SAT Math ไว้ที่ 600 ถึง 700 คะแนน ซึ่งถือเป็นผลคะแนน SAT ที่เหมาะสมในการช่วยเพิ่มโอกาสให้น้องๆ สมัครเข้าศึกษาคณะที่น้องสนใจได้
อ่านเพิ่มเติม >> คะแนน SAT ใช้ยื่นคณะหรือมหาวิทยาลัยอะไรได้บ้าง
สรุปเกี่ยวกับคะแนน SAT
ความเข้าใจในระบบการคิดคะแนน SAT เป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้น้องๆ สามารถกำหนดเป้าหมายและวางแผนการเตรียมสอบ SAT ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจถึงวิธีการคำนวณคะแนน SAT รวมถึงการเข้าใจสถิติและเกณฑ์คะแนน SAT ที่ต่างกันของแต่ละคณะ จะช่วยให้น้องสามารถประเมินความสามารถและความต้องการของน้องได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่การวางแผนการติว SAT และการทบทวนเนื้อหาที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำคะแนนได้ตามเป้าหมาย
สุดท้ายนี้ การวางแผนและการเตรียมตัวอย่างเป็นระบบจะเป็นสิ่งสำคัญมากๆ สำหรับน้องๆ ที่ต้องการทำ SAT Scores ให้ได้ดีนะคะ พี่หวังว่าข้อมูลและคำแนะนำที่ให้ไปนี้จะช่วยให้น้องๆ วางแผนและเตรียมตัวสำหรับการสอบ SAT ได้อย่างมั่นใจและได้ผลคะแนนสูงสุดตามที่หวังไว้กันทุกคนเลยค่ะ!